หลายคนเชื่อหรืออยากฝันว่า สังคมไทยกลับคืนสู่สภาพเดิมหลังรัฐประหาร ๑๙
กันยา หลังการประท้วงจากสองฝ่าย การเข่นฆ่าประชาชนเสื้อแดงโดยทหาร
และชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี ๒๕๕๔
แต่ก็มีคนเสื้อแดงไม่น้อยที่เชื่อว่าประชาชนจำนวนมาก “ตาสว่าง”
และสังคมไทยจะกลับสู่สภาพเดิมไม่ได้
อย่างไรก็ตามความจริงในรูปธรรมมันซับซ้อนกว่านั้น
สำหรับพวกที่เชื่อหรือฝันว่าสังคมไทยกำลังกลับคืนสภาพเดิม
แน่นอนมีคนอย่างพวกทหารระดับสูง ที่คิดว่าจะไม่มีการลดอำนาจทหาร ไม่มีการแก้กฏหมาย
112 ไม่มีการปฏิรูประบบศาล ไม่มีการนำฆาตกรอย่างตัวเขาเองมาขึ้นศาล
ทั้งหมดเพราะมีข้อตกลงกับนักการเมืองน้ำเน่าในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
และอีกกลุ่มหนึ่งที่หวังว่าทุกอย่างกำลังกลับสู่สภาพเดิมคือทักษิณและนักการเมืองที่เป็นพรรคพวก
และนั้นคือความหมายของการปรองดองแย่ๆ ทำพวกนี้ผลักดัน มันปรองดองบนซากศพวีรชน
ปรองดองบนความทุกข์ของนักโทษการเมือง
ปรองดองเพื่อให้ชนชั้นปกครองไทยที่เคยทะเลาะกัน
กลับมาร่วมกินเสพสุขบนพื้นฐานการกดขี่ขูดรีดประชาชนส่วนใหญ่
นอกจากฝ่ายชนชั้นสูงแล้ว
มันมีปรากฏการณ์ในหมู่นักวิชาการและผู้นำเอ็นจีโอหลายคน
ที่เคยโบกมือต้อนรับรัฐประหาร ๑๙ กันยา และชื่นชมในทหารที่เข่นฆ่าเสื้อแดง
พวกนี้ก็หวังว่าสังคมไทยกำลังกลับคืนสู่สภาพเดิม และเริ่มออกมา “หน้าด้าน”
แสดงความเห็นต่อสังคมเรื่องประชาธิปไตย โดยอ้างว่าเป็นผู้แทนหรือปากเสียงของ
“ภาคประชาชน”
พวกนี้ไม่ต่างจากสัตว์เลื้อยคลานที่ออกมาตอนกลางคืนหลังจากที่แสงสว่างหมดไปจากโลก
เราก็เลยเห็นคนที่เคยร่วมทำลายประชาธิปไตย เคยร่วมส่งเสริมเผด็จการ
เคยร่วมกันด่าประชาชนธรรมดาเวลาประชาชนเหล่านั้นชุมนุมเป็นเสื้อแดง ตอนนี้ออกมาเป็น
“ผู้เชี่ยวชาญหรือพี่เลี้ยง” ในเรื่องประชาธิปไตย หรือ
“ผู้ส่งเสริมสิทธิผู้บริโภคหรือสิทธิชาวบ้าน”
แต่มันมีเงื่อนไขคือชาวบ้านเหล่านั้นต้องยอมรับการนำของเขา และต้องไม่นำตนเอง
ที่น่าสมเพช คือแนวทางในการพัฒนาประชาธิปไตยของพวกนี้มีแต่สูตรเดิมๆ
ที่ไม่เคยมีความหมายจริง เพราะไปอาศัยทฤษฏีของฝ่ายชนชั้นปกครองทั่วโลกมาใช้
ซึ่งเป็นแนวคิดฝ่ายขวาที่เป็นอุปสรรค์ต่อการสร้างประชาธิปไตยและเสรีภาพแท้
บ่อยครั้งมันฟังดูดี แต่มันนามธรรมเหลือเกิน
ซึ่งเป็นการสร้างภาพให้ดูดีเพื่อให้คงไว้สภาพเดิมเท่านั้น
ขอยกตัวอย่าง
มีการพูดว่าประชาธิปไตยต้องไม่ยึดติดกับตัวบุคคลเกินไป เออ...ก็ใช่นะ
แต่พวกที่พูดแบบนี้ก็กลับยึดติดกับคนชั้นสูงที่เขาเองรักจนหัวใจพองโต
หรือยึดติดกับผู้ก่อตั้งศาสนาในยุคโบราณ
หรือมองว่าการเปลี่ยนแปลงในโลกมาจากการกระทำของคนสำคัญ “คนดีไม่กี่คน”
“คนฉลาดไม่กี่คน” หรือแม้แต่คนชั้นกลางที่เป็นคนส่วนน้อย
แต่พอสะกิดความคิดของเขาด้วยข้อเสนอว่าคนธรรมดานำตนเองได้ สร้างขบวนการเสื้อแดงได้
หรือกรรมกรโรงงานบริหารการผลิตเองได้โดยไม่ต้องมีนายทุนหรือหัวหน้างาน
หรือถ้าเราเสนอว่าทุกตำแหน่งสาธารณะในสังคมควรมาจากการเลือกตั้ง
เขาจะรีบสวนกลับไปว่าคนชั้นต่ำทำอะไรเองไม่ได้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องการคอร์รับชั่น
ซึ่งเป็นปัญหาจริง แต่เป็นปัญหาจากโครงสร้างสังคมที่เป็นสังคมชนชั้น
เพราะพวกที่คอร์รับชั่นจริงในสังคมไทย คือชนชั้นปกครองทั้งชนชั้น ไม่มีดีสักคน
เช่นทหารที่เบ่งอำนาจ
ใช้งบจากภาษีประชาชนเพื่อสร้างสถานีโทรทัศน์แล้วตั้งตัวเองเป็นกรรมการบอร์ดเพื่อกินกำไรเข้ากระเป๋าส่วนตัว
เช่นพวกอภิสิทธิ์ชนที่อาศัยตำแหน่งเพื่อตั้งเงินเดือนตัวเองสูงๆ
แล้วกดเงินเดือนประชาชนธรรมดา หรือตัวอย่างอื่นๆ
ของคนที่ใช้ตำแหน่งเพื่ออ้างสิทธิพิเศษที่จะร่ำรวยมหาศาลโดยที่ตนเองไม่ทำงานเลย
และเรายังไม่ได้พูดถึงนักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลาย แต่พวกที่เคยสนับสนุนรัฐประหาร ๑๙
กันยาจะพูดถึงคนกลุ่มสุดท้ายนี้เท่านั้น
พวกที่ล้าหลังที่สุดที่ตอนนี้คลานออกมาจากใต้ก้อนหินเพื่อสั่งสอนสังคม
เคยเสนอว่าประชาชนไทยไม่ควรมีสิทธิ์เลือกตั้งเต็มที่ เพราะเคยไปเลือกทักษิณ
โดยที่พวกนี้พยายามปกปิดความจริงว่าประชาชนเลือกทักษิณเพราะชอบนโยบายที่เป็นรูปธรรมของพรรคไทยรักไทย
นั้นไม่ใช่การยึดติดกับตัวบุคคลของเสื้อแดง แต่การเสนอว่าในระบบการเมือง
หรือในการเลือกตั้ง ประชาชนไม่ควรยึดติดกับตัวบุคคล มันมีความหมายในอีกแง่
คือมันเป็นวิธีหลีกเลี่ยงประเด็นชนชั้น
เรื่องการคอร์รับชั่นก็เป็นเรื่องชนชั้น
และความสามารถในการตรวจสอบการใช้อำนาจ ที่พวกกระแสหลักชอบพูดถึงบ่อยๆ
จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าชนชั้นกรรมาชีพหรือคนทำงานไม่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน
ยิ่งกว่านั้นการตรวจสอบการใช้อำนาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้ามีกฏหมายเผด็จการอย่าง
112 ที่ปกป้องทหาร นักการเมือง
และอภิสิทธิ์ชน
คนที่ปฏิเสธความสำคัญของชนชั้น
และนักวิชาการกับแกนนำเอ็นจีโอเกือบทุกคนมองโลกแบบนี้ เป็นคนที่ปิดหูปิดตาตัวเอง
และพยายามปิดหูปิดตาคนอื่นถึงแก่นแท้ของความไม่เท่าเทียมทางอำนาจในสังคม
ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะถ้าไม่นำเรื่องชนชั้นมาพูด
เราจะไม่สามารถมองเห็นการที่คนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่ง คุมอำนาจทางการเมืองในมือ
และใช้อำนาจนั้นในการบังคับขโมยทรัพย์สินส่วนเกินจากคนส่วนใหญ่ที่ทำงาน
จนพวกนี้ร่ำรวยมหาศาล นอกจากนี้คนกลุ่มนี้สามารถร่วมกันใช้ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง
ผ่านกลไกของรัฐ
ในการรักษาความไม่เท่าเทียมทางอำนาจต่อไปได้
ถ้าเราปฏิเสธประเด็นชนชั้น
เราเหลือแต่คำอธิบายว่าเศรษฐี คนรวยหรือนายทุน รวยเพราะขยันและรู้จักออม
หรือเขารวยหรือมีอำนาจทางการเมือง
เพราะเขาฉลาดหรือมีความสามารถพิเศษกว่าเรา
คนที่ปฏิเสธชนชั้นจะมองไม่ออกว่า
“การเมือง”
เป็นช่องทางในการแย่งผลประโยชน์กันระหว่างคนส่วนน้อยที่คุมอำนาจและการผลิตมูลค่า
กับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานผลิตมูลค่าดังกล่าว เขาจึงมองว่า “การเมือง”
เป็นแค่การเล่นเกม ระหว่างทีมต่างๆ ที่มีรสนิยมต่างกัน
การมองว่าการเลือกตั้งระหว่างพรรคเดโมแครด กับพรรคริพับลิแคน ในสหรัฐอเมริกา
คือจุดสุดยอดของการพัฒนาประชาธิปไตย เป็นตัวอย่างที่ดีของความคิดปัญญาอ่อนแบบนี้
และเวลามีวิกฤตเกิดขึ้น เรามักจะได้ยินพวกนี้พูดว่า “เราควรสามัคคีเพื่อชาติ” หรือ
“ไม่ควรนำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง”
แต่ในโลกจริงการเมืองของความขัดแย้งทางชนชั้นไม่เคยหายไป
เวลาน้ำท่วมหรือพายุเข้ามา คนจนเดือดร้อนมากกว่าคนรวยหลายร้อยเท่า
และคนจนยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเวลาคนรวยที่มีอำนาจ ไม่ยอมให้รัฐของนายทุน
เก็บภาษีจากตัวเขาเพื่อพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่
เรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องชนชั้นล้วนๆ
เพราะในระบบประชาธิปไตยแท้ ที่พวกเราเรียกว่า “สังคมนิยม”
คนทำงานธรรมดาจะมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่จะควบคุมทุกอย่างในสังคมร่วมกัน
แทนที่จะมีนายทุนที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างทุกวันนี้
ถ้าจะมีประชาธิปไตยแท้ในอนาคต
เราต้องมีพรรคการเมืองที่มาจากคนทำงาน และเสนอนโยบายเพื่อคนทำงาน
พรรคนี้จะต้องเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนธรรมดา
ซึ่งหมายความว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้เศรษฐีนายทุน และพรรคพวกของเขา
รวมถึงนายทหารชั้นสูง เสียผลประโยชน์และในที่สุดเสียอำนาจด้วย
ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและฐานะเศรษฐกิจ
การสร้างความเสมอภาคย่อมกระทบกับคนส่วนน้อยที่เคยได้ประโยชน์จากความไม่เสมอภาค
มันเข้าใจได้ง่าย
ถ้าวกกลับมาพิจารณาว่าสังคมไทยกำลังกลับคืนสู้สภาพเดิมหรือไม่
เราต้องตั้งข้อสังเกตหลายประการ เช่นสังคมที่ไหน ไม่ว่าจะไทยหรือที่อื่น
ไม่เคยแช่แข็งหยุดนิ่งโดยไม่เปลี่ยนแปลง
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้สังคมดีขึ้นโดยอัตโนมัติ มันอาจแย่ลง
หรืออาจเปลี่ยนในหลายแง่
แต่ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
ประชาชนไทยจำนวนมากผ่านประสบการณ์วิกฤตการเมืองหลังรัฐประหาร
๑๙ กันยา ซึ่งทำให้บางคนตาสว่าง บางคนมองโลกในแง่ใหม่ บางคนอยากเปลี่ยนสังคมต่อไป
บางคนพร้อมจะขยับตัวออกมาต่อสู้หรือจัดตั้งเพื่อเปลี่ยนสังคม
แต่ในขณะเดียวกันบางคนอาจยิ่งถอยหลังลงคลอง ดื้อในความล้าหลัง
ไม่พร้อมจะให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
เพราะเกลียดและกลัวภาพของการเปลี่ยนแปลงที่เคยเห็นแว๊บๆ ท่ามกลางวิกฤตที่ผ่านมา
และอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมคือ คนเปลี่ยนความคิดเสมอ
และการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอาจไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันเสมอ
อาจเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ ตัวอย่างที่ดีคือคนสมัย ๑๔ ตุลา หรือ ๖ ตุลา
ที่ตื่นตัวทางการเมืองและเริ่มขยับไปทางซ้ายสังคมนิยม
ในภายหลังวกกลับมามีความคิดอนุรักษ์นิยมอีก พูดง่ายๆ คนที่ตาสว่างหลัง ๑๙ กันยา
จะไม่ตาสว่างตลอดไปถ้าไม่มีการต่อสู้เพิ่มเติมและการจัดตั้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของฝ่ายสังคมนิยม
ไม่มีหลักประกันว่าตอนนี้สังคมไทยจะไม่กลับคืนสู่สภาพเดิมๆ
ที่ไร้ความยุติธรรม แต่ก็ไม่มีหลักประกันอีกด้วยว่าสังคมจะไม่เปลี่ยน
ตอนนี้เป็นโอกาสทองที่จะต่อยอดการเคลื่อนไหวต่อสู้ของเสื้อแดง
เพื่อผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยแท้
และเปลี่ยนโครงสร้างสังคมให้เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่
แต่มันขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะร่วมกันลงมือทำงานเพื่อเป้าหมายนี้หรือไม่
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่มา เว็บเสื้อแดงสังคมนิยม
No comments:
Post a Comment