Saturday, March 3, 2012

จ.ม.จากสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ถึง ประชา พรหมนอก

28 กุมภาพันธ์ 2555
หน้าศาลอาญา


กราบเรียน ท่านพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

อย่าเป็นแม่ทัพที่ทำลายนักรบของตนเองเพื่อเอาใจข้าศึก
การเคลื่อนไหวของ นปช. ภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ต้นปี พศ.2552เป็นต้นมามีเป้าหมายอยู่ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีจุดหมายอยู่ที่การยุบสภา แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่และพรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะและจัดตั้งรัฐบาล



   ดังนั้นการจัดชุมนุมใหญ่ในเดือนเมษายน 2552 ที่มีการล้อมทำเนียบรัฐบาลก็เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายเชื่อถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยและ นปช. ภายใต้การนำของสามเกลอ

แต่ถูกล้อมปราบสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ถูกจับกุมมากมาย จนบัดนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุด แต่พรรคเพื่อไทยและ นปช. ก็ไม่เปลี่ยนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การต่อสู้

   จนถึงปี พศ.2553 ก็จัดการเคลื่อนไหวใหญ่เรียกยุทธการนี้ว่า ”ลาวาแดง” คือการระดมคนเสื้อแดงทั้งประเทศเข้าสู่กรุงเทพฯ ในเดือน มีนาคม เพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา


   แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนประเภทเด็กดื้อ อวดฉลาด รวมทั้งคนที่เป็นเสนาธิ-การอยู่เบื้องหลังก็เช่นเดียวกันอ่านเกมพลาด จึงแทนที่จะหาทางออกตามวิถีทางการเมือง ที่เรียกคะแนนให้กับรัฐบาลตนเองอย่างท่วมท้นเป็นพระเอกในสายตาคนทั่วโลก


   แต่กลับตัดสินใจใช้แผน 6 ตุลาคม 2539 หวังปราบปราม ไล่ล่า เช็คบิล ให้สิ้นซาก และขบวนการนักศึกษาประชาชนที่ถูกกระทำในวันที่ 6 ตุลาคม 2539 จึงถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง เพราะสภาพการณ์ของโลกของสังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนมาก และคู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่ฝ่ายซ้ายเหมือนแต่ก่อน


   ดังนั้นถึงจะถูกจับกุม ปราบปราม เข่นฆ่า ไล่ล่าจับกุมคุมขังจนตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้ก็ชั่วขณะหนึ่ง แต่กลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอำมาตย์คาดไม่ถึง ดังนั้น

1
การลากยาวทอดเวลาไม่รีบยุบสภา ที่คิดว่าจะได้เปรียบกลับกลายเป็นช่วยให้ฟื้นจากอาการมึนงง คนเสื้อแดงกลับมาด้วยศักยภาพมากกว่าเดิม

   ถึงวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มอำมาตย์คงนึกออกแล้วว่าถ้าตัดสินใจยุติการปราบปรามเข่นฆ่า วันนี้ก็ยังคงได้เป็นรัฐบาลอยู่ ด้วยภาพที่สวยงามหรือหากเลือกเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 รีบยุบสภาไม่เกินเดือนสิงหาคม 2553 ที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงยังไม่ฟื้น เวลานี้รัฐบาลก็น่าจะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำ นปช.หลายคนก็ยังคงอยู่ในคุกไม่ได้เป็น ส.ส. ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ก็คงจะไม่ได้เป็น รมช. แต่ยังเป็น น.ช. อยู่


   โอกาสที่ผ่านไปแล้วเอาคืนไม่ได้แล้ว เวลานี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับพรรคเพื่อไทยและ นปช. นับว่าบรรลุจุดมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์ ตามที่กำหนดแล้ว แต่ถามว่า แล้วมีอำนาจอย่างแท้จริงหรือไม่ สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างถาวรหรือไม่ เอาแค่คนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก ก็ไม่สามารถช่วยเหลือออกไปได้ เทียบกับคนเสื้อเหลืองที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุววรรณภูมิ ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ช่วยเหลือ จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครติดคุกแม้แต่คนเดียว


   แล้วเวลานี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกมาข่มขู่คนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 จะให้มองว่าอย่างไร ฉลาดหรือโง่กันแน่


   หรือเข้าใจว่าการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวเที่ยวนี้เป็นที่สุดแล้ว เป็นชัยชนะตลอดการแล้ว สามารถตกลงปลงใจร่วมผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีมวลชนสนับสนุนอีกแล้ว หรือจะอธิบายได้ว่านี่เป็นเพียงแผนลับลวงพลางให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจเท่านั้น


   ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเวลานี้คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคนเสื้อแดงระดับคุณภาพที่ตาสว่างแล้ว มีความรู้สึกที่เคลือบแคลง ต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไปมาก จึงควรที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยระดับคุณภาพจะออกมากู้ศรัทธากลับคืน อย่าปล่อยให้คนประเภทฉวยโอกาสกระแสพรรคเที่ยวสามหาวก้าวร้าว ต่อมวลชนที่สนับสนุนพรรคชนิดไม่กลัวความตายไม่ใช่มุดหัวทุกทีที่มีการยึดอำนาจ



2
ต้องศึกษาทบทวนบทเรียนในประวัติศาสตร์ถึงความฉลาดของรัฐไทยในการเอาชนะคอมมิวนิสต์ ขณะที่รอบบ้านเป็นคอมมิวนิสต์หมดแล้ว ประเทศไทยกำลังจะเป็นโดมิโนตัวต่อไป แต่ด้วยความชาญฉลาดจึงเดินทางไปเปิดสัมพันธภาพกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้นำหลักของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท) เป็นแผนแยกสลายทำลายทีละส่วน

   จนในที่สุด พคท. ที่มีผู้นำเป็นคนแก่บ้องตื้น มองพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเทพแล้วยอมตามทุกอย่าง กระทั่งเป็นศัตรูกับเวียดนามตามพรรคคอมมิวนิสต์จีน สุดท้ายถูกทอดทิ้งเพราะจีนเห็นประโยชน์กับรัฐไทยมากกว่าอุดมการณ์ พคท. จึงล่มสลาย เวลานี้ก็ยังไม่หายบ้องตื้น แบ่งเป็นสองฝ่าย นั่งเถียงกันเรื่องวิเคระห์สังคมไทย คงนั่งเถียงกันจนแก่ตายทั้งสองฝ่ายไม่ได้ต่อสู้อะไร

   แผนนี้กำลังใช้กับรัฐบาลไทยพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงปัจจุบัน นั่นคือแผนแยกสลายทำลายทีละส่วน โดยแสร้งทำดีปรองดองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดดเดี่ยวทำลายคนเสื้อแดงคุณภาพ ก่อนค่อยสลาย ”แดงแม่ยก” เปลี่ยนเป็น“แดงจงรักภักดี” แบบขวัญชัย ไพรพนา เมื่อหมดมวลชนเสื้อแดงก็เชือดพรรคเพื่อไทย ตอนนี้ก็คือการอี๋อ๋อระหว่างอำมาตย์ใหญ่กับนายกฯปูก็เพื่อบรรลุแผนนี้

   นายกฯปูนั่นก็เหมือนนกกระจิบหัดบินเมื่อเผชิญเหยี่ยวใหญ่ที่ช่ำชองย่อมไม่เท่าทันหรอก ดังนั้นการที่คนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ออกมาข่มขู่คุกคามและโดดเดี่ยว คนเสื้อแดง ที่เคลื่อนไหว ให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และผู้ต้องคดีตามมาตรนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ทัพที่ทำลายนักรบของตัวเอง เพื่อเอาใจข้าศึก วันใดที่หมดนักรบแม่ทัพจะถูกฆ่าอย่างง่ายดาย

   หวังว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย คงฉลาดพอที่จะเท่าทันในแผนนี้
คนเสื้อแดง


ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์


28 กุมภาพันธ์ 2555

No comments:

Post a Comment